กรุงเทพมหานคร เมืองที่ดูสะดวกสบายที่สุด เทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำสมัย ความเจริญทั้งหลายทั้งปวงของประเทศนี้ ดูเหมือนว่าจะรวมอยู่ ณ เมืองแห่งนี้ที่เดียว อาจเป็นเมืองที่ใครๆหลายคนอยากเข้ามาอยู่ สัมผัสแสง สี ความศิวิไลซ์ของเมืองนี้ แต่สำหรับผมแล้ว เมืองที่เจริญที่สุด กลับไม่น่าอยู่ที่สุด
จริงอยู่กรุงเทพฯ อาจมีสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของเราได้มากมาย ความศิวิไลซ์ของมัน ดึงดูดให้เราเพลิดเพลินอยู่ในวังวนโลกแห่งวัตถุนิยมได้ง่ายดาย อีกทั้งการศึกษาที่แพร่หลายกว้างขวาง ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ใจกลางเมือง แหล่งบันเทิงเริงใจ ความสะดวกสบายต่างๆ ทำให้เมืองนี้น่าจะเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในประเทศไทย เป็นเมืองสวรรค์ของเหล่าเทพเทวดา ดั่งชื่อของกรุงเทพฯส่วนหนึ่งที่ว่า“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์...” ใช่ไหมล่ะครับ
แต่สำหรับผมแล้ว กรุงเทพฯเป็นเมืองที่น่าหลีกหนีให้ไกลมากที่สุด เมืองที่เจริญมากก็อันตรายต่อกาย-ใจของเรามากเช่นเดียวกัน หากเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของเมืองนี้แล้ว ข้อเสียเทียบเท่าภูผามหึมา ข้อดีนั่นหนาก็แค่เพียงเศษหินกระมัง
ฉากหลังของกรุงเทพ เมืองศิวิไลซ์ มีเงาดำมืดซ่อนอยู่ ภายในความสวยงามน่าอยู่ของมัน แฝงไปด้วยความน่ารังเกียจที่อยากหนีห่าง ภายในความสะดวกสบาย ยังซ่อนความลำบากยากเข็นเอาไว้มากมายภายในความน่าบันเทิงเริงใจหลากหลาย ก็ยังมีมุมของความทุกข์ยาก แสนสาหัสอยู่ทั่วไป หรือภายในความมั่งคั่ง หรูหรา ก็ปิดบังความยากจน อดยาก ไม่มีอันจะกินเอาไว้
ชีวิตในเมืองนี้นับตั้งแต่เราตื่นขึ้นมา แทนที่จะได้ยินเสียงไก่ขัน หรือนกร้อง จิ๊บๆ ยามเช้า กลับกลายเป็นเสียงเครื่องยนต์ยานพาหนะนานาชนิดเซ็งแซ่ ดังกึกก้องทักทายกันแทน เสียอารมณ์สุนทรีย์ตั้งแต่เช้า
เมื่อตื่นแล้วเราก็ต้องการออกไปสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นในยามเช้า เพื่อเติมพลังชีวิตให้ตนเอง ทันทีที่หายใจลึกๆสูดอากาศเข้าปอด แทนที่จะได้รับพลังชีวิตบริสุทธิ์ กลายเป็นว่า เขม่าควัน ฝุ่นละออง ไอเสีย ปริมาณมหาศาล ก็เข้าไปทำลายระบบหายใจ บ่อนทำลายชีวิตอันบริสุทธิ์ของเราอีก ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม คนต่างจังหวัดไกลปืนเที่ยง ถึงมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนนานกว่าคนกรุงมากมายนัก
ถึงเวลาออกจากบ้านไปทำงาน ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะมุ่งหน้าไปที่ป้ายรถเมล์สายต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมิได้นัดหมาย ต้องยืนขาแข็งรอรถเมล์กันนานแสนนาน บางสายหลายชั่วโมงมาคันเดียวก็มีต้องปาดเหงื่อไคล ทนกับอาการปวดเมื่อยและจิตใจร้อนรุ่มกับการเดินทางที่ต้องแข่งกับเวลา
เมื่อรถเมล์สายที่รอคอยนั้นชะลอความเร็วเข้าเทียบฟุตบาต ผู้คนก็ต่างรีบแย่งกันขึ้นรถ ราวกับรอคอยมันมานานชั่วชีวิต และจะไม่ได้ขึ้นอีกถ้ารถมันจากไป เมื่อรับผู้โดยสารเสร็จรถเมล์สายนั้นก็ค่อยๆเร่งความเร็วขับออกไป ท่ามกลางสายตาอิจฉาของคนที่ต้องรอรถต่อไป
สภาพภายในรถเมล์ก็ไม่ต่างอะไรกับตู้คอนเทนเนอร์ที่ขนสินค้าอัดยัดแน่น เหมือนปลากระป๋องที่อัดรวมกันอยู่ในกระป๋องเล็กๆ ผู้คนต่างเบียดเสียดและแออัดมากกว่าสลัมใดๆในโลก ต่างคนต่างแทรกตัวเข้าไปเพื่อจับจองราวโหนและที่จับเป็นของตนเอง อากาศหายใจน้อยและค่อนข้างอึดอัด หายใจไม่สะดวกเท่าใดนัก แดดเริ่มแผดแสงกล้าในยามสาย ตัวถังรถทำด้วยโลหะจึงไม่แปลกที่สภาพรถเมล์จะกลายเป็นเตาอบขนาดใหญ่ ไอร้อนกระจายไปทั่วรถ ทำให้ผมนึกถึงไก่ย่าง 5 ดาวที่อยู่ในตู้อบ ถ้ามันยังไม่ตายคงรู้สึกไม่
ต่างจากผมนัก
หลุดพ้นจากรถเมล์นรกมาได้ถึงที่ทำงานเสียที แต่...ก็ไปสายจนได้ การจราจรในกรุงเทพฯแย่อย่างไรคงทราบกันดี จิตใจร้อนรุ่มกับชีวิตที่ต้องแข่งกับเวลาเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ยามเช้าของการทำงานไม่สู้จะดีนัก และทั้งวันก็คงยากที่จะสดชื่น คึกคักได้เป็นแน่
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นเพียงมุมเล็กๆเท่านั้น
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น